วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เตรียมตัวให้พร้อมเพื่อการสมัครงาน

     ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องของการเตรียมตัวเพื่อการสมัครงานแล้ว คาดว่าหลายคนทั้งที่กำลังว่างงานอยู่ หรือที่เพิ่งจะสำเร็จการศึกษาออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัย คงจะลืมหรือมองข้าม ที่จะให้ความสำคัญในส่วนนี้ไป แต่จะไปให้ความสำคัญในเรื่องของการเตรียมตัว สัมภาษณ์งานมากกว่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การเตรียมตัวสมัครงานก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำคุณไปสู่งานที่ดีได้ เพราะการที่คุณมีความพร้อมแล้ว นั่นหมายความว่า คุณมีความมั่นใจพอที่ก้าวไปสู่บันไดชีวิตขั้นต่อไปได้แล้ว 

     การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสมัครเข้าทำงานในสายอาชีพต่างๆ ที่ต้องการมีขั้นตอนดังนี้

1. ทำความรู้จักกับตนเอง ว่าคุณชอบอะไร ถนัดอะไร มีความสามารถ ทางด้านไหน และอยากทำงาน ในธุรกิจ ประเภทใด เพื่อที่คุณ จะได้ส่งใบสมัคร ไปยัง งานที่ตนเองสนใจ และมีความถนัด เท่านั้น เพื่อเป็นการ ประหยัดเวลา และ ค่าใช้จ่าย ในการที่จะต้อง ไปสัมภาษณ์ในงาน ที่คุณไม่ได้มี ความสนใจเลย 
1.1 การค้นหาทักษะ (Skills) เป็นความสามารถที่ต้องมีและเป็นรากฐานในการทำงานทุกชนิด ไม่มีงานชนิดไหนที่ไม่ต้องใช้ทักษะ โดยทักษะ จะแบ่งได้เป็น 3 แบบ คือ (1) ทักษะที่เกิดจากการเรียนรู้ เช่น ทักษะในการขับรถ พูดภาษาต่างประเทศ (2) ทักษะที่ติดตัวที่ติดตัวเรามาและสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ เช่น การวาดรูป ร้องเพลง (3) ทักษะที่ได้จากสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ทำงาน โรงเรียน เช่น ทักษะการเข้ากลุ่มเพื่อน ทักษะการเป็นผู้นำ ซึ่งในงานแต่ละชนิดเมื่อจำแนกหน้าที่ของงานออกแล้วจะต้องประกอบด้วย กิจกรรมหลายอย่าง ซึ่งแต่ละ กิจกรรมก็จะประกอบไปด้วยทักษะมากมาย เช่น อาชีพครู มีกิจกรรมทางด้านการสอน บริหาร ค้นคว้า ทักษะมีทั้งการพูด การออกคำสั่ง การฟัง การแสดงออก และการเขียน เป็นต้น
1.2 การสำรวจจุดเด่นของตนเอง จุดเด่นของคุณมีผลต่อการหางานมากพอๆ กับทักษะ จุดเด่นนี้เป็นลักษณะทางบุคลิกภาพที่ทุกคนมี งานทุกชนิดต้องการคนที่มีบุคลิกบางอย่างที่เด่น เป็นเฉพาะ เช่น งานประชาสัมพันธ์ คุณควรมีบุคลิกภาพที่เขากับคนง่าย รู้จักจัดการเกี่ยวกับคน หรือพนักงานบัญชี คุณก็ควรมีบุคลิกภาพที่ละเอียดรอบคอบ เป็นต้น
 1.3 สำรวจความสัมฤทธิ์ผลทั่วไป ความสัมฤทธิ์ผลนี้คือ เป็นความรู้สึกประทับใจความสำเร็จไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด ๆ ก็ตาม โดยให้นึกถึงสิ่งที่คุณทำแล้วสำเร็จ และประทับใจเหล่า นั้นมาสัก 4 - 5 เรื่อง และเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นผลสัมฤทธิ์ของคุณ และนำมาเขียนเป็นผลสรุปของคุณเก็บไว้เป็นข้อมูลไว้เป็นองค์ประกอบในการสมัครงานด้านหนึ่ง
 1.4 สำรวจความชอบ / ไม่ชอบ เป็นขั้นตอนของการลองกลับไปคิดทบทวนใหม่อีกครั้งถึงประสบการณ์สมัยอยู่โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย หรือช่วงชีวิตที่ผ่านมามีอะไรที่เกิดขึ้นใน ช่วงเหล่า นั้น ที่คุณชอบและไม่ชอบใจบ้างไหม เช่น คุณอาจจะจำครูที่ดุอย่างขาดเหตุผล คุณแม่ที่เคร่งครัดและเจ้าระเบียบ เพื่อนที่เจ้าอารมณ์ ขอให้จำบุคลิก ลักษณะ ของบุคคลที่คุณไม่ชอบนี้ไว้ด้วย คุณจะได้รู้ว่าบุคคลประเภทใดที่คุณอยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุข
1.5 สำรวจขีดจำกัด คนเราทุกคนไม่มีความสมบูรณ์ดีพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทุกคนต้องมีข้อบกพร่อง ซึ่งมันอาจเป็นจุดอ่อนที่ยังแฝงอยู่ในบุคลิกภาพของคุณในปัจจุบัน จุดอ่อนที่จะ เป็นตัวขัดขวางทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร โดยคุณจะต้องพยายามทำความรู้จักกับทุกส่วนของบุคลิกคุณอย่างแท้จริง และนำมา เป็น จุดแก้ไข ปรับปรุง หรือเป็นข้อควรระวัง เพื่อคุณจะไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จได้ เช่น คุณอาจเป็นคนที่มีความคิดอ่านที่ดีสมัยอยู่โรงเรียนมัธยม แต่ คุณมักไม่กล้า แสดงตัวหรือแสดงความคิดเห็นให้ ปรากฏ ทำให้คนอื่นรับหน้าที่แทนคุณไป แสดงว่าคุณมีจุดอ่อน คือ ขาดความกล้า หรือไม่มีลักษณะเป็นผู้นำ คุณก็นำข้อ นี้ไปปรับปรุงและพัฒนา หรือถ้าไม่ไหวจะเป็นผู้นำก็ต้องหางานในตำแหน่งที่ไม่ ต้องแสดงความเป็นผู้นำ ดังกล่าว
1.6 สำรวจค่านิยม ค่านิยม คือสิ่งที่เรายึดถือว่า ดี งาม สมควรปฏิบัติ เช่น ค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์ ความมั่นคง ความปลอดภัย ความเสียสละ ซึ่งถ้าคุณคิดเพียงว่าแต่ขอ ให้ได้งาน โดยไม่ตระหนักถึงค่านิยมของตัวเองและธรรมชาติของงาน การทำงานนั้นก็จะไม่ได้รับความสุขกับการทำงาน และทำให้ต้องเข้า ๆ ออก ๆ หางาน ใหม่อยู่ ตลอดเวลา ดังนั้น การรู้จักค่านิยมของตัวเองจึงเป็นหัวใจสำคัญอีกด้านหนึ่งในการทำงานเพื่อ ความสุขของชีวิต
1.7 สำรวจความสัมพันธ์ที่มีต่อบุคคลอื่น การทำงานทุกชนิดต้องสัมพันธ์กับคน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละตำแหน่งงาน ดังนั้น สิ่งที่คุณต้องเข้าใจคือ เราต้องอยู่กับคนไปตลอดชีวิต การ เข้าใจความสัมพันธ์ที่มีต่อกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการอยู่ร่วมกัน และทำงานด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ
 1.8 สำรวจสิ่งแวดล้อมในการทำงาน สิ่งแวดล้อมในการทำงานที่นี้ก็คือ สถานที่ตั้งของหน่วยงาน เช่น ใกล้ - ไกล การคมนาคม ต่างจังหวัด หรือกรุงเทพฯ สภาพมลภาวะต่างๆ ลักษณะงาน ซึ่งคุณจะต้องมีความยืดหยุ่นพอที่จะปรับความต้องการให้เข้ากับสิ่งที่คุณได้ ตามสมควร
 1.9 ความต้องการเกี่ยวกับเงินเดือน ไม่ว่าตัวผู้สมัครงานจะมีประสบการณ์หรือไม่มีประสบการณ์ก็ตาม การเรียกร้องเงินเดือนเท่าใดนั้น คุณควรจะต้องไปทำการค้นคว้าว่าโดยทั่ว ๆ ไป บุคคลที่จบการศึกษาระดับเดียวกันกับคุณหรือผู้ที่ทางบริษัทที่รับเข้ามาใน ตำแหน่งที่คล้ายกับที่คุณสมัครนั้นเขาได้รับเงินเดือนประมาณเท่าใด ซึ่งส่วนใหญ่ ถ้าเป็นงานราชการเงินเดือนจะต้องเป็นไปตามวุฒิที่ทางการกำหนด ไม่มีการต่อรอง แต่ถ้าเป็นบริษัทเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจอาจมีอัตราการจ่ายเงินที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับขนาด ความมั่นคงของบริษัท และระบบการบริหารของบริษัท
2. มองหาแหล่งงาน เมื่อคุณรู้ว่าตัวเองชอบอะไร และ อยากทำงานด้านไหนแล้ว คุณก็ควรที่จะ เริ่มต้น มองหา แหล่งงาน โดยในปัจจุบันทางเลือกของแหล่งงาน นั้น มีมากมาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณสะดวกที่จะใช้วิธีไหน ก็ต้อง มาดูกันว่า คุณจะมองหางาน จากที่ไหนดี
2.1 ญาติสนิทและเพื่อนฝูง วิธีนี้ใช้ได้ดีทีเดียวสำหรับคนที่มีญาติสนิท และเพื่อนฝูง เยอะและคุณเอง ก็จะ ได้เปรียบกว่าคนอื่น ตรงที่คุณ จะได้ รับรู้รายละเอียด และระบบงาน ของบริษัทนั้น จากปากของ คนที่เราสนิทเอง ทำให้คุณสามารถใช้ข้อมูลนั้น ในการ ประกอบ การตัดสินใจได้
2.2 หนังสือพิมพ์ ดู จะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุด เพราะใน ปัจจุบันนี้ หนังสือพิมพ์หลายฉบับ ต่างก็มีการ จัดทำ Section เกี่ยวกับ ประกาศรับสมัครงาน หรือที่ เรียกว่า หน้า Classified ออกมาด้วย เช่น บางกอกโพสต์ กรุงเทพธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งก็ต้อง เลือกดูกันว่า จะอ่านจาก หนังสือพิมพ์ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษดี แต่ขอบอก นิดนึงว่า ส่วนใหญ่บริษัทที่ลงประกาศ ในหนังสือพิมพ์ ภาษาอังกฤษนั้น จะค่อนข้าง อินเตอร์ซักหน่อย ถ้าจะเขียน จดหมายสมัครงาน บริษัทประเภทนี้ ก็ควรจะเขียน ภาษาอังกฤษด้วย
2.3 บริการจัดหางานโดยกรมการจัดหางาน ก็เป็นอีกแหล่งหนึ่ง ที่น่าสนใจ มีทั้งงานของภาครัฐ และ เอกชนให้คุณเลือก โดยคุณสามารถ ไปเขียนใบสมัคร ทิ้งไว้ได้ที่ สำนักงานจัดหางาน ใกล้บ้านคุณ หรือจะไปถึงที่ เลยก็ได้ และปัจจุบันนี้กรมการจัดหางาน ก็ยังอำนวย ความสะดวก ให้คุณมากขึ้นด้วยการจัดทำเว็บไซต์ เพื่อ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และบริการหางานผ่านทาง Internet โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย
3. การเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมบุคลิกท่าทาง ตลอดจนเตรียมหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ ในการสมัครงานไว้ให้พร้อม เช่น
- บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ใบรับรองผลการศึกษา ประกาศนียบัตร ปริญญาบัตร ประวัติย่อ ซึ่งหลักฐานเหล่านี้ ควรมีการ ถ่ายเอกสาร เตรียมไว้เป็นชุด ๆ หลาย ๆ ชุด เพื่อพร้อมที่จะใช้ได้ทันที 
- รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว เขียนชื่อ-นามสกุล หลังรูป
- จดหมายรับรองการฝึกงาน (ถ้าเคยฝึกงาน)
- หนังสือรับรองการทำกิจกรรมนิสิต
- ใบยกเว้นการรับราชการทหาร
- เครื่องใช้ในการกรอกใบสมัคร
- ปากกา (ดำหรือน้ำเงิน) ยางลบ ไม้บรรทัด
- ชื่อที่อยู่ของผู้ที่เราจะอ้างอิงถึง (ขออนุญาตเสียก่อน)
- เสื้อผ้าชุดที่เรียบร้อยที่สุดหรือชุดที่ทำให้เรามั่นใจมากที่สุด
- ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท-หน่วยงานที่เราต้องการสมัคร รวมทั้งลักษณะงานในตำแหน่งที่สมัคร

4.  การสัมภาษณ์ หากถูกเรียกสัมภาษณ์ จงเตรียมรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะผู้สัมภาษณ์มักงัดเอาเทคนิคใหม่ๆมาใช้ในการคัดเลือก เช่น ใช้คำถามหนึ่งโยงไปสู่หลายๆคำถามในการสัมภาษณ์ เพื่อเช็คความเที่ยงตรงของคำตอบ ดังนั้นอย่าไขว้เขวและอย่าโกหก เพราะบางครั้งก็ไม่มีคำตอบที่ถูกและผิดสำหรับคำถามบางข้อ เตรียมคำถามที่จะถามกลับระหว่างการสัมภาษณ์ นี่เป็นโอกาสของคุณ ควรตั้งคำถามที่สามารถสื่อถึงข้อมูลการศึกษาที่คุณค้นคว้ามา ตลอดจนความเข้าใจต่อองค์กรหรือบริษัท ให้เขารู้ว่าคุณเตรียมตัวมาสมัครงานและสนใจในบริษัท มีความคล่องแคล่วและว่องไวต่อสิ่งต่างๆ แต่อย่าโอ้อวดหรือแสดงออกว่าเก่งหรือฉลาดจนเกินไป
ระหว่างการสัมภาษณ์ ให้ฟังคำถามอย่างระวังรอบคอบ คือต้องฟังผู้สัมภาษณ์อย่างตั้งใจและควรคิดไปด้วยว่าเราจะตอบอย่างไร ควรสบตากับผู้สัมภาษณ์และควรใช้ภาษาท่าทางประกอบบ้าง เช่น พยักหน้าแสดงความสนใจในสิ่งที่เขากำลังพูดถึง หลีกเลี่ยงอาการหยุกหยิกอยู่ไม่สุข หากไม่เข้าใจคำถามควรขอให้ผู้สัมภาษณ์อธิบายเพิ่ม เพื่อให้เราสามารถตอบได้ตรงตามความเข้าใจ ไม่ควรถามซ้ำๆหลายครั้งเหมือนเป็นคนไม่ฉลาด
ตอบคำถามอย่างกระชับ เน้นใจความหน้าที่ของคุณตอนนี้คือแสดงตัวตนให้ผู้สัมภาษณ์รู้ว่าเรามีทักษะ ความรู้ ทัศนคติ ความถนัด และมีคุณลักษณะตรงตามที่เขาต้องการ โดยต้องแน่ใจว่าคำตอบของคุณ มีความชัดเจนเพียงพอและไม่สื่อความหมายผิดไปจากที่ตอบ
จงอย่ากลัวที่จะขอสิ่งที่คุณต้องการ หากต้องการงานดีๆแต่เงินเดือนไม่เหมาะสมกับค่าเหนื่อยของก็ควรที่จะเจรจาต่อ รองบนพื้นฐานความสมเหตุสมผล โดยคุณต้องทำการบ้านมาก่อนด้วยการวิเคราะห์ว่าจะคุ้มหรือไม่ และต้องศึกษาศักยภาพของบริษัทว่าจะสามารถจ่ายค่าแรงคนเก่งอย่างเราได้แค่ไหน อย่าลืมว่าบางครั้งนายจ้างที่มีศักยภาพก็อาจประสบปัญหาด้านการเงินได้บ้าง จึงยากที่จะจบหรือลงเอยตามความต้องการของคุณ คิดอย่างผู้ประกอบการ เมื่อถึงเวลาเจรจาต่อรองเงินเดือนและผลประโยชน์ ควรขจัดความคิดจากวิธีคิดแบบต้นทุนบวกกำไร ที่เป็นการมุ่งเน้นเพื่อตัวเองเป็นสำคัญมาใช้วิธีคิดแบบเจ้าของธุรกิจ โดยคิดแบบนำราคาหักต้นทุนจะดูเหมาะสมกว่ามาก เพราะเป็นการแสดงว่าคุณคิดถึงบริษัทที่จะไปทำงานมากกว่าตนเอง

Well begun is half done..... เริ่มต้นดีก็เหมือนงานนั้นสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น